นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่งกล่าวถึงข้อเสนอของสนช.ให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1 เปอร์เซ็นต์ ว่า ยังไม่สมควรที่จะขึ้นแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ เพราะจะกระทบประชาชนและเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องตอนนี้ ควรรอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมซึ่ง สนช.ก็เสนอความคิดเช่นนี้ ซึ่งความจริงแล้วทุกฝ่ายควรศึกษารายงานดังกล่าว เพราะทำการศึกษาระบบภาษีที่ต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงไว้ดีมาก ที่ได้พูดถึงภาษี 3 ประเภท คือ 1.แวตควรจำแนกอัตราภาษีตามประเภทสินค้าเช่นสินค้าฟุ่มเฟือยหรูหรากับมาม่าปลากระป๋องไม่ควรใช้อัตราเดียวกันและถ้าจะเพิ่มภาษีจาก จาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ให้นำรายได้ที่เพิ่มไปใช้ในด้านการศึกษาและสาธารณสุขเพื่อปชช.และนักเรียนนักศึกษาเท่านั้น 2.ภาษีลาภลอยหรือWindfall Gain Tax ควรนำมาใช้ได้แล้วเป็นภาษีที่เกิดจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นแบบส้มหล่นเช่นมีทางหลวงไปตัดผ่านที่ทำให้ที่ดินราคาสูงขึ้นเมื่อขายก็มีรายได้สูงขึ้นจึงต้องเสียภาษีลาภลอยใช้กันมากในประเทศที่เจริญแล้ว และ 3.ภาษีนิติบุคคล เสนอให้บริษัทที่ทำธุรกิจในจังหวัดใดท้องถิ่นใดเสียภาษีในพื้นที่นั้นไม่ใช่มาคำนวณภาษีรวบยอดจ่ายที่กรุงเทพ เป็นรายงานที่ดีทันสมัยควรค่าแก่การศึกษาอย่าสนใจเพียงประเด็นเดียวแล้วไม่มองรายงานทั้งฉบับ
"ผมคิดว่า การขยายฐานภาษีน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในตอนนี้ เพราะฐานภาษีเราแคบมากตัวอย่างเช่นคนไทย 70 ล้านคน อยู่ในวัยทำงาน 40 ล้านคน ยื่นแบบภาษีภงด.90/91 แค่ 10 ล้าน และเสียภาษีแค่ 4 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่คือมนุษย์เงินเดือนทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องปฏิรูปจุดนี้ซึ่งสปช.และสปท.ได้เสนอรัฐบาลไปแล้วรวมทั้งมาตรการอื่นที่น่าสนใจเช่นเพิ่มประเภทภาษีเช่นภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีสิ่งแวดล้อม ภาษีลาภลอย ฯลฯซึ่งไม่กระทบคนยากคนจนและยังแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วย"นายอลงกรณ์ กล่าว