“แฟร้งค์- ภคชนก์”แนะอ่านหนังสือได้เห็นจักรวาลใหม่น่าค้นหา



แฟร้งค์- ภคชนก์  โวอ่อนศรี  พิธีกรมาแรงอุปนิสัยดี นอบน้อมถ่อมตัว มีโอกาสเจอะเจอจึงสัมภาษณ์เกี่ยวกับผลงานและหนังสือเล่มโปรด ซึ่งเจ้าตัวรักการอ่านมาก ขนาดก่อนเล่นหนังเรื่อง“ขุนพันธ์” ยังอ่านหนังสือสามเล่ม เพื่อให้เข้าใจตัวแสดง และแนะว่าการอ่านหนังสือทำให้จินตนาการกว้างไกล  โดยแฟร้งค์เปิดใจด้วยรอยยิ้ม

                “งานพิธีกร ‘ศึกวันดวลเพลง’ ครับ จันทร์-ศุกร์ ช่อง ONE 31 และ ‘ดารามหาชน’ วันอาทิตย์ ตอนแรกผมใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง ไปเล่นละครเวทีของคุณบอย ตั้งแต่ วิมานเมือง ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงและได้รับโอกาสที่ผู้ใหญ่มอบให้ครับ ได้พัฒนาศักยภาพ ได้เรียนรู้ ด้านพิธีกรเราก็ทำหน้าที่พิธีกรมา แต่ยังไงก็ตามความฝันอยู่ในใจครับ ผมอยู่หน้ารายการ เดอะ สตาร์ เที่ยวบอกตัวเองว่ามาเถอะมาทำตามความฝันกัน และพอมีโอกาสทำตามความฝันของตัวเองก็อยากทำหน้าที่ให้มันเต็มที่ครับ  ผมได้รับบทอะไรมาไม่ว่ามันจะใกล้ตัวหรือไกลตัวก็จะพยายามทำให้มันดีที่สุด

                ก่อนที่ผมจะเล่นขุนพันธ์ ผมได้ไปอ่านหนังสือ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" (One Hundred Years of Solitude )  ของ  กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ครับ เล่มหน้าปั๊กเลย อ่านเพื่อให้เข้าใจรูปแบบของหนัง และอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ‘การเปลี่ยนแปลงความคิดของชนชั้นนำของไทย’ สมัยรัชกาลที่ 4 และก็อีกเล่มหนังสือของ ‘NATIONAL GEOGRAPHIC’ พูดถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อที่จะได้เห็นภาพของสังคมทั้งหมดครับ เราก็ได้รู้ว่าการเดินทางมันเป็นอย่างไร วิถีชีวิตของคนเป็นอย่างไรและความศรีวิไลในตอนนั้นมันศรีวิไลแค่ไหน ในสภาวะสงครามโลกนั้น คนชั้นผู้นำเขาคิดอย่างไร เริ่มยอมรับวิถีชีวิตตะวันตกมากยิ่งขึ้น เริ่มมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงการศึกษามากยิ่งขึ้น เริ่มไปเรียนเมืองนอก เริ่มเข้าใจภาษาต่างๆ  ย้อนกลับมาดูความฝันของผมฮะ ในเมื่อผมมีโอกาสที่จะได้ทำตามความฝันของผมแล้ว ผมจะไม่ยอมให้โอกาสของผมมันสูญหายไปเปล่าๆ ปี้ นี้คือโอกาสที่ผมจะได้ทำสิ่งที่ผมรัก เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่ผมไม่ทุ่มเทกับมัน เวลารับงานผมให้ทางบริษัทจัดการให้ครับ ผมทำเบื้องหลังด้วยกับทางช่อง ONE ด้วยครับ ตอนนี้เริ่มว่างแล้วฝากบอกผู้จัดว่าเรารับงานได้แล้วครับ(หัวเราะ)  คนเราต้องมี IN PUT ครับไม่ใช่พูดไปพูดไปเยอะๆ พลังภายในเราจะน้อยลง ผมพยายามจะอ่านหนังสือเรื่อยๆ อย่างก่อนเล่น ขุนพันธ์ ผมอ่าน 3 เล่ม ผมพยายามจะอ่านเรื่อยๆ ฮะ  ตอนนี้ก็อ่าน โลกอันซ้อนกันอยู่ ของคุณชาติ กอบจิตติ ครับ คนเขียน พันธุ์หมาบ้า เป็นนักเขียนซีไรต์เรื่อง คำพิพากษา ที่ผมอ่านเป็นเรื่องราวที่อยู่ในเฟสบุ๊กของคุณชาติ เขามีเพื่อนแล้วก็คุยกับเพื่อน สนุกสนานมาก เพราะคุณชาติมีบ้านสวนอยู่ และเขาทำนาปลา  ผมอ่านจากเฟสที่คุณชาติเขาโพสต์ลงวันละเรื่อง บางทีเรื่องที่เราอยากรู้พอไปถึงจุดหนึ่งมันจบ สนุกมากแล้วเราก็จะได้เห็นการตอบโต้ของคนที่เป็นแฟนหนังสือเหมือนเรา ความน่ารักการหยอกล้อของนักเขียนแล้วผู้อ่านอะไรแบบเนี่ย สนุกมาก อ่านได้เรื่อยๆ แล้วแต่ละบทไม่ยาวเกินไป ผมเป็นคนชอบอ่านผลงานของคุณชาติ และเป็นแฟนคลับอ่านมานานมากแล้ว ผมเคยออกจากบ้านแต่พันธุ์หมาบ้าพาผมกลับบ้าน ตอนนี้ผมเข้าใจเรื่องอายุระหว่างวัย แล้วก็ทำให้เชื่อว่าเด็กคนหนึ่งที่อาจจะเกเรบ้าง มันอาจจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีก็ได้ หนังสือผมอ่านได้หมด หนังสือบางเล่มอาจให้เรารู้ว่าเรื่องราวเลวร้ายหรือสภาวะสังคมที่เราอยู่ในขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งในวงจรที่เกิดขึ้นมาแล้วซ้ำๆ ยิ่งหนังสือ 3 เล่มที่ผมอ่านตอนเล่นขุนพันธ์เนี่ยทำให้ผมรู้เลยว่า  เอ่อ สิ่งที่ผมพูดไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองนะ(เน้นเสียง) สิ่งที่เราต้องเจอในสังคมปัจจุบันเนี่ยครับ ทำให้เรารู้คนบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีอำนาจในการเป็นผู้นำ ที่จริงในหน้าที่ของผู้นำคือ การสร้างสิ่งที่ดีให้กับผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง ให้กับผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเรา ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ของประเทศเรา หลายครั้งที่เราต้องล้าหลังหรือประเทศเราต้องสูญเสียเพราะผู้ที่ได้อำนาจกลับใช้อำนาจนั้นเพื่อตัวเองแทนที่จะเพื่อเจตนารมณ์ของการปกครอง หลายครั้งที่ความศรีวิไลถูกใช้มาเพื่อเหยียบคนที่ตัวเล็กหรือไม่มีโอกาสในการเข้าถึงความศรีวิไลให้ห่างชั้นออกไป สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดมาหลายครั้งซ้ำซากมาก นี้คือสิ่งที่ผมได้จากการอ่าน นั้นทำให้ผมเชื่อว่าถ้าเราปฏิบัติตัวตามเจตนารมณ์ของวิชาชีพ แค่วิชาชีพของเรานะ(เน้นเสียง)ไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำ ให้มันไปตามเจตนารมณ์วิชาชีพ เราจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่ทำให้ประเทศนี้พัฒนา ถ้าทุกคนทำพร้อมๆ กันกับหน้าที่ของตัวเองกับวิชาชีพของตัวเองประเทศไทยจะพัฒนาได้ เรามีอะไรที่ครบครันครบเครื่องหมดแล้ว ผมยกตัวอย่างเช่น วงการหนัง อเมริกายึดโลกนี้ด้วยฮอลลีวูด อเมริกาใส่จิตวิญญาณของความเป็นอเมริกันของเสรีภาพลงไปในหนังฮอลลีวูด และให้ทุกคนเชื่อว่าอเมริกาเป็นวงการที่ยิ่งใหญ่ เขายิ่งใหญ่จริงๆ ครับ แต่เป็นเพราะว่าเขาเชิดชูวัฒนธรรมของเขา เกาหลีสร้างวัฒนธรรมเคป๊อปของเขาๆ ใช้วัฒนธรรมเป็นอาวุธครับ คนไทยมีอาวุธอย่างนี้อยู่แล้วแค่คนในวงการเราทำหนังเพื่อระเบิดวัฒนธรรมของเราไปให้ทุกคนได้รู้ เราจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ได้นะ นี่ผมแค่ยกตัวอย่างวงการภาพยนตร์ มันมีอีกหลายที่ๆ เราเป็นคนที่เก่งกว่าใคร เราสามารถทำระบบร่อนลงจอดบนดาวอังคารได้โดยนาซาคิดไม่ออก

ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เป็นคนคิดครับ นั่นคือคนไทย เราฉลาด วัฒนธรรมของเรางดงาม  ผมจะไม่ชวนคนอ่านหนังสือว่าจะให้คุณค่ากับชีวิตอะไรหรอก สิ่งนั้นมันจะเป็นปลายทาง แต่สิ่งแรกเลยคุณจะพบโลกใบใหม่ โลกที่เป็นของคุณ โลกที่ใครก็มายุ่งกับคุณไม่ได้ โลกที่คุณจะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ ตอนแรกๆ ผมก็อ่านเวลาในขวดแก้ว ล่องจุ้น ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เรามีสิทธิ์ที่จะสร้างโลกใบใหม่ในจินตนาการของเราเอง อย่าทำให้การอ่านหนังสือเป็นการโดนบังคับ เลือกหนังสือที่เป็นเรื่องราวก่อน เรื่องราวที่เราสนใจ เรื่องราวที่เราชอบ การ์ตูนก็ยังได้เลยนะ การ์ตูนก็ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้จาก ซึบาซะ  อ่านการ์ตูนแล้วเราไม่อิ่มเราอยากไปอีกขั้นหนึ่งของการสร้างภาพอ่านนวนิยายก็ได้ฮะ อ่านไปแล้วคิดภาพตามไป เราจะมีหนังที่เป็นส่วนตัวของเรา นี่คือความสนุกของการอ่าน พอวันหนึ่งเราอ่านไปเรื่อยๆ เราได้รู้ได้สิ่งที่เราอยากรู้ทั้งนั้นเลย เราได้รู้ว่าในจักรวาลของตัวหนังสือนี้มันมีอะไรให้เราค้นคว้ามากมาย เวลาเราสื่อสารกับใครเราจะมีระบบความคิดซึ่งไปอีกขั้นหนึ่งครับ