ระเบียงเศรษฐกิจของไทย จะไปทางไหน??



ความคาดหวังที่รัฐบาลพยายามทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นกับดักความยากจน หรือก้าวข้ามประเทศที่กำลังพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยให้ประชาชนมีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 12,000 บาท/คน/เดือน ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนจากต่างประเทศ และเน้นแรงงานที่ใช้ทักษะขั้นสูง คือเทคโนโลยีเกี่ยวกับเครื่องบิน รถ หรือ ยานพาหนะไฟฟ้า โดรน อากาศยานไร้คนขับ เป็นต้น และความพยายามของท่านรองนายกฯ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในการดึงนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้สอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อมุ่งเน้นอุตสาหกรรมแบบไฮ-เทคโนโลยี

ในช่วงแรกดูมีความหวังค่อนข้างมากที่จะได้กลุ่มของอาลีบาบา กรุ๊ป โดยแจ๊ค หม่า เจ้าพ่อตลาดออนไลน์และอภิมหาเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับ 1 ของจีน ซึ่งตอนนี้มีขนาดธุรกิจที่เรียกว่ามาแรงแซงทางโค้งจากหลายค่าย ทั้งจากอีเบย์ และอะเมซอนของทางฝั่งยุโรป อเมริกาแบบเหนือการคาดเดาของเซียนการตลาดเกือบค่อนโลกทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าไทยเราจะต้องเหนื่อยอีกพอสมควร เพราะแจ๊ค หม่า ตัดสินใจไปลงทุนเมกะโปรเจคที่มาเลเซีย ทำให้สีสันแห่งไทยแลนด์ 4.0 ดูหมองไปพอสมควร เนื่องจากข้อเสนอที่ดีกว่าในหลายด้านของประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะนโยบาย DFTZ หรือ Digital Free Trade Zone ที่แปลเป็นไทยว่าเขตการค้าเสรีดิจิทัล รวมถึงความเสถียรมั่นคงทางด้านการเมือง และความเป็นประชาธิปไตย แจ๊ค หม่าจึงตัดสินใจตั้งศูนย์กระจายสินค้าประจำภูมิภาคอาเซียนที่มาเลเซีย พร้อมผลักดันมาเลเซียให้เป็น “ศูนย์กลาง E-Commerce” ประจำภูมิภาคอาเซียน

อย่างไรก็ตามนโยบายรัฐบาลคือ เน้นเทคโนโลยีที่เป็นโลกอนาคต ดังนั้นต่อไปรัฐบาลอาจจะลดการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยสายพันธุ์แท้ที่ทำธุรกิจแบบเดิมๆ เทคโนโลยี และแรงงานทักษะต่ำ เช่น สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ โรงงานที่ใช้แรงงานพื้นฐานเป็นหลัก เพราะรัฐบาลต้องการให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ออกไปด้านนอกสู่ประเทศข้างเคียง ให้ไปลงทุนนอกบ้าน และใช้แรงงานราคาถูกจากเพื่อนบ้าน โดยไม่เน้นให้แรงงานในกลุ่มประเทศเหล่านั้นเข้ามาในบ้าน ดังที่จะเห็นว่าการเปิดโควตาแรงงานต่างด้าวนั้นมีจำกัด และทำได้ยากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะไปลงทุนต่างประเทศจะได้รับการสนับสนุน ผู้ประกอบกอบการที่ใช้แรงงานราคาถูกดูเหมือนจะถูกลอยแพ

แล้วพวกเราชาวไทยในภาคการเกษตรจะไปในทิศทางไหน???  ต้องบอกว่าการแปรรูป และการเพิ่มมูลค่าสินค้านั้นคือทางออก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์การบรรจุ หีบห่อ การมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม ง่ายต่อการขนส่งทางไปรษณีย์ เพราะต่อไปการตลาดออนไลน์ก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ได้อานิสงส์จากมาเลเซีย ที่อาลีบาบาเข้ามาเปิดศูนย์กลางการค้าอีคอมเมิร์ซเอาไว้ การทำผลไม้อบแห้ง การทำมะพร้าวน้ำหอมกระป๋อง หรือมะพร้าวเจียพร้อมดื่ม การทำทุเรียนอบ กล้วยตาก กล้วยอบ ข้าวอินทรีย์ ข้าวซ้อมมือ ข้าวหอม น้ำนมข้าว น้ำสำรอง น้ำบัวบก เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เครื่องเทศ เครื่องแกงสำเร็จรูป สบู่สปา ยาสีฟัน ฯลฯ สินค้าเหล่านี้คิดว่าจะไปได้ดีในอนาคตอย่างแน่นอน

 

 มีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยตรงที่ 02 986 1680 -2

สนับสนุนบทความโดย นายมนตรี บุญจรัส

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)

สอบถามข้อมูลข่าวได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0 2000 8499 , 081 732 7889