อาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์ ชี้แจงกลั่นแกล้งลูกศิษย์ ชีวิตเปลี่ยน ยื่นใบลาออก โซเชี่ยนจัดหนัก อาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์ ออกชี้แจง “ความจริงคือความจริง”




สืบเนื่องจากอาจารย์ได้ถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริงและไม่เคยได้ออกมาชี้แจงเนื่องจากกลัวลูกศิษย์จะไม่มีที่ยืนในสังคม และเป็นการทำร้ายลูกศิษย์ แต่เนื่องจากข่าวที่โจมตีอาจารย์เสียหายจึงจำเป็นต้องออกมาปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรี สิทธิมนุษย์ชน เลยต้องออกมาแถลงครั้งแรกและครั้งเดียวจบที่กรุงเทพมหานคร

อาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์  หัวหน้าภาควิชาสังคมและมนุษย์วิทยา ที่กลายเป็นข่าวโด่งดังว่า บังคับนักศึกษากราบเท้าคนโกง ข้อเท็จจริงคือ เป็นการให้กราบขอโทษกันและกันระหว่างอาจารย์ภาคสนามและนิสิต ส่วนประเด็นทำร้ายนักศึกษา ด้วยการทุบบ่าลูกศิษย์ ข้อเท็จจริงคือเป็นการกึ่งหยอกล้อ เพราะสนิทคุ้นเคยกัน ที่นิสิตปิดบังเรื่องราวต่างๆ ต่ออาจารย์ และเพื่อนอีก 3 คนจึงเดินเอามือไปตีหลังไม่รุนแรงหลายข้อกล่าวหาทำให้อาจารย์ได้กลายเป็นจำเลยสังคม เสียชื่อเสียง แทบจะไม่มีที่ยืนในสังคมถูกด่าหยาบคายจากคนทั่วไปที่ได้รับข่าวด้านเดียว อาจารย์ไม่เคยได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรม ผู้หญิง ธรรมดา คนหนึ่ง แต่มีความรู้ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายเป็นที่เคารพนับถือกลับกลายเป็นจำเลยสังคม วิงวอนสื่อช่วยเป็นกลางและ เสนอข้อเท็จจริงด้วยความถูกต้องดังที่กล่าวมา

ความจริงก็คือความจริงความจริงอีกด้านจากอาจารย์
เมื่อ วันที่ 17 มีนาคม นี้ อาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์   จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ออกมาพูดต่อสาธารณะ ซึ่งไม่ใช่มาแก้ตัว ไม่ใช่อยากดัง หรือมาโป้ปดมดเท็จ แต่เพื่อต้องการเสนอความจริง เพื่อมาปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ความเป็นครูอาจารย์ และความถูกต้อง ในเบื้องต้นอยากขอให้เข้าใจว่าเรื่องการทุจริตของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น กับการฝึกงานของนิสิตสาขาการพัฒนาชุมชน นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการที่ดิฉันตกเป็นจำเลยของสังคมอยู่ในขณะนี้เหตุก็เพราะมีการผูกโยงเอา 2 เรื่องนี้เข้าด้วยกันไม่มีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องการทุจริตภาควิชาฯ คณะฯ และมหาวิทยาลัย ก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือในกระบวนการดำเนินการดังกล่าวและดิฉันพร้อมด้วยอาจารย์ท่านอื่นในภาควิชาฯไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง มีส่วนรู้เห็น หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับการทุจริตของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น เพราะไม่ได้มีการทำงานวิจัยหรือโครงการใดๆร่วมกัน และไม่ได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่คนใดของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ทั้งนี้ทาง ปปท. เขต4 ขอนแก่น ก็เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไปแล้ว ว่าทางอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตฯ

กรณีถูกกล่าวหาว่าสั่งนิสิตให้กราบเท้าคนโกง
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560 ดิฉันและอาจารย์นิเทศได้เข้าไปสอบถามอาจารย์ภาคสนาม (เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯซึ่งกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาในปัจจุบัน) ไม่ใช่ ผอ.ศูนย์ฯ เกี่ยวกับความกังวลใจของนิสิตเรื่องการทำเอกสาร ซึ่งอาจารย์ภาคสนามได้ยืนยันว่านิสิตจะไม่มีความผิดเพราะผู้ตรวจของกรมฯ มาตรวจสอบเจ้าหน้าที่ ไม่ได้มาตรวจสอบนิสิต และอาจารย์ภาคสนามก็ได้ขอโทษนิสิตที่ทำให้ไม่สบายใจ ดิฉันจึงได้ถามความสมัครใจของนิสิตว่าจะฝึกงานต่อที่เดิมหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็สมัครใจฝึกงานต่อ เพราะเห็นว่าสิ่งที่กังวลใจได้รับการคลี่คลายแล้วและเหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะสิ้นสุดการฝึกงาน ซึ่งอาจารย์ภาคสนามก็ยินดี ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีร่วมกันระหว่างอาจารย์ภาคสนามกับนิสิตในการที่จะฝึกงานกันต่อไป ดิฉันจึงแนะนำนิสิตให้กราบขอโทษอาจารย์ภาคสนาม ไม่ได้สั่งหรือบังคับให้กราบเท้าคนโกงเพื่อเป็นเงื่อนไขจะได้รับการอนุมัติให้ฝึกงานต่อแต่อย่างไร ซึ่งนิสิตทั้ง 4 คนก็ฝึกงานต่อจนจบถึงวันที่ 7พฤศจิกายน 2560 โดยไม่มีการแจ้งปัญหาใดๆกับอาจารย์นิเทศ และนิสิตก็ได้เกรดวิชาฝึกงานฯแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2560

กรณีถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยวนิสิต
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 ที่ห้องพักอาจารย์ภาควิชาฯ ดิฉันและอาจารย์นิเทศของนิสิตศูนย์คุ้มครองฯ ได้เรียกนิสิตทั้ง4 คน มาพูดคุยสอบถามที่มาที่ไปเกี่ยวกับการเรียกนิสิตไปสอบข้อเท็จจริงโดยหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ปปช. ปปท. เพราะเมื่อช่วงสิ้นปี2560 น้องแบมได้แจ้งให้เพื่อนอีก 3 คน ไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานดังกล่าว ซึ่งเพื่อนสงสัยและไม่สบายใจ จึงนำเรื่องมาปรึกษาอาจารย์ ในวันนั้นดิฉันจึงสอบถามน้องแบม ว่าได้ไปร้องเรียนไหม มีหนังสือราชการมาถึงไหม เพื่อจะได้หาทางแนะนำช่วยเหลือได้ถูกต้อง ซึ่งน้องแบม ก็ปฏิเสธ ดิฉันจึงรู้สึกหมั่นเขี้ยว (ภาษาอีสานคือคันแข่ว) ที่น้องแบม ปิดบังเรื่องราวต่ออาจารย์และเพื่อนอีก3 คน จึงเดินเอามือไปตีที่หลังไม่รุนแรง เป็นลักษณะของการกึ่งหยอกล้อเพราะสนิทคุ้นเคยกัน ไม่ได้มีอารมณ์โกรธแค้นคิดทำร้ายร่างกายให้บาดเจ็บเสียหาย ซึ่งวันนั้นน้องแบม ก็ยิ้มหัวเราะเป็นปกติ หากมีการบอบช้ำหรือบาดเจ็บประการใด ก็ควรจะมีใบรับรองแพทย์มายืนยันในวันนั้น  (มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์)

กรณีถูกกล่าวหาว่ากลั่นแกล้งนิสิตด้วยการเปลี่ยนหัวข้อวิจัย
เมื่อคณะฯและภาควิชาฯได้รับหนังสือจากปปท.ภาค4 ขอนแก่น ในวันที่ 9 มกราคม 2561 ดิฉัน อาจารย์นิเทศ และคณบดี จึงเรียกนิสิตทั้ง4 คน มาพูดคุยหารือเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ทำวิจัยสำหรับรายวิชาพัฒนาชุมชนนิพนธ์ ในภาคเรียนที่2/2560 (หากไม่มีการร้องเรียนปปท./ปปช.นิสิตจะได้ทำวิจัยในพื้นที่เป้าหมายของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น) ซึ่งเพื่อความปลอดภัยของนิสิต อาจารย์ผู้เกี่ยวข้องจึงได้ประสานงานให้นิสิตไปทำวิจัยในพื้นที่เป้าหมายใหม่ เมื่อเปลี่ยนพื้นที่เป้าหมายจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนหัวข้อวิจัย เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของนิสิต ซึ่งจะทำให้นิสิตสามารถจบการศึกษาตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้งนิสิตแต่อย่างใด และในวันนั้นก็ไม่ได้มีการดุด่านิสิต เพียงแต่สอบถามนิสิตถึงที่ไปที่มาของการร้องเรียนปปช./ปปท. เหมือนเช่นในวันที่ 3 มกราคม 2561 และก็ไม่ได้มีการยึดโทรศัพท์มือถือของนิสิตแต่อย่างใด

ยื่นใบลาออกแสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
จากการที่ดิฉันได้ตกเป็นจำเลยของสังคม ทำให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของภาควิชา คณะ และมหาวิทยาลัย ดิฉันจึงได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา
 
ทั้งนี้หลังจากโดนกระแสโซเชียนลงโทษ ทำให้อาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์ ต้องออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าว ด้วยเพราะกรณีนี้เองทำให้มีความเสี่ยงจากการได้รับอันตรายจากบุคคลที่ไม่รู้จัก ด้วยการโพสต์และแชร์ข้อมูลส่วนตัวประจานในสังคมออนไลน์ โทรศัพท์ ส่งอีเมล์และส่งไลน์ในข้อความที่ไม่สุภาพ จึงขอออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมดังกล่าว