โค้งสุดท้ายธนาคารที่ดิน เปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันบริหารจัดการที่ดิน รอ กพร. ประเมินผลก่อนเสนอเข้า ครม. คาดปลายปีรู้ผล



รัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เล็งเห็นความสำคัญในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ในเรื่องที่ดินทำกินมาโดยตลอด ซึ่งได้ดำเนินการผ่านโครงการของ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. เพื่อกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ในรูปแบบโฉนดรวม การถือครองกรรมสิทธิ์ร่วม การป้องกันการสูญเสียสิทธิในที่ดินจากการจำนอง ขายฝากตลอดจนส่งเสริมการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้กำกับดูแล 

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 5 ปี บจธ. ได้ กระจายการถือครองที่ดินให้แก่เกษตรกรได้มีสิทธิในที่ดินเป็นของตนเอง ในรูปของโฉนดแล้ว จำนวน 3,039 ราย เนื้อที่ 3,484 ไร่ โดยเกษตรกรทุกคนที่เข้าโครงการต้องได้รับการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ และศาสตร์พระราชาเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาการทำเกษตรอย่างยั่งยืน 
สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน หรือ บจธ.  ได้นำร่างพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งสถาบันบริหารจัดการเพื่อกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไปและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง  โดยผ่านช่องทาง www.labai.or.th  และ www.lawamendment .go.th และจัดประชุมโดยเชิญผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 15 หน่วยงาน หน่วยงานรัฐและหน่วยงานวิสาหกิจ เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร องค์กรชุมชน นักวิชาการ นักศึกษา ภาคประชาสังคม มีผู้ให้ความสนใจ กว่า 1,562 คน  จาก 6 ภาค ทั่วประเทศ (ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก) 

ผศ.ดร. จิตติ มงคลชัยอรัญญา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากการหารือระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) มีความเห็นร่วมกันว่า หากมีการจัดตั้งธนาคารที่ดิน  อาจจะทำให้การดำเนินการตามภารกิจไม่ประสบผลตามที่มุ่งหวัง เพราะถูกตีความว่าเป็นการจัดตั้งธนาคารเฉพาะกิจ ซึ่งต้องไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะที่ธนาคารที่ดิน เป็นหน่วยงานที่มีการดำเนินงานด้านสังคมเป็นหลัก  ด้วยการให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และส่งเสริมเกษตรกรและประชาชนให้มีที่ดินทำกินอย่างมั่นคงและยั่งยืน  ดังนั้น จึงเห็นควรจัดตั้งในรูปแบบองค์กรอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับธนาคารที่ดิน โดยเสนอให้จัดตั้งในรูปแบบองค์การมหาชน โดยการตราพระราชกฤษฎีกา ภายใต้พระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หลังจากที่ได้ดำเนินการร่างพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งสถาบันบริหารจัดการเพื่อกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... แล้วเสร็จ  บจธ. จึงได้นำร่าง ฯ ดังกล่าวขอความคิดเห็นจากภาคประชาชนและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง  ในส่วนของเนื้อหาการจัดตั้งธนาคารที่ดินไม่มีความแตกต่างไปจากเดิม  ในส่วนของชื่อองค์กร  ทุกคนมองว่าองค์ใหม่ที่จะตั้งขึ้นเป็นองค์กรทางสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาการไม่มีที่ดินทำกิน  ดังนั้น จึงควรให้เปลี่ยนชื่อจาก“ธนาคารที่ดิน”ไปเป็น “สถาบันบริหารจัดการที่ดิน” หรือ สทด.  สำหรับความเห็นจากส่วนราชการ ในส่วนของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ไม่ขัดข้องหากจะมีการตั้งองค์กรใหม่  แต่ต้องการให้มีการประเมินผลการทำงานของ บจธ. ในช่วงที่ผ่านมาว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าผลการศึกษาออกมาว่าคุ้มค่า สององค์กรน่าจะไม่ขัดข้องกับโครงสร้างองค์กรและแนวทางการทำงาน  ในส่วนระยะเวลาดำเนินงานในการนำเสนอร่าง ฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี  หากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เราอาจจะเห็นว่า คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งสถาบันบริหารจัดการที่ดินประมาณเดือนกรกฎาคมปีนี้  


ผศ.ดร. จิตติ กล่าวสรุปว่า “โดยนโยบายของรัฐบาล ผมเชื่อว่าเขาอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วๆ เพราะองค์กรมหาชนลักษณะนี้ ทำงานได้คล่องตัวกว่าหน่วยงานรัฐทุกรูปแบบ  ผมก็หวังว่ารัฐบาลจะมีเครื่องไม้เครื่องมือ  มีนวัตกรรมในการช่วยเหลือคนยากคนจน  ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  ผมมีความเชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กเช่นเดียวกับองค์การใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นที่เรียกว่า สทด. และโครงสร้างทางกฎหมายเปิดโอกาสให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก มันคล่องตัว  สามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว  กลไกตัวนี้จะเป็นกลไกที่ช่วยทั้งประชาชน  ช่วยประเทศ  แล้วจริง ๆ ก็จะเป็นผลงานที่สำคัญของรัฐบาล  และหากสถาบันนี้เกิดขึ้นมา คนกลุ่มแรกที่จะได้ประโยชน์สูงสุดคือคนที่เดือดร้อนเรื่องที่ทำกินจะได้ประโยชน์สูงสุด  อีกกลุ่มที่จะได้ประโยชน์คือกลุ่มคนที่กำลังจะถูกยึดที่จากการไปจำนองที่ดิน  หรือไปอยู่ในรายชื่อที่กำลังจะถูกขายทอดตลาดที่ดิน  ถัดจากนั้นจะเป็นคนกลุ่มที่ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปสู่ภาคเกษตรกรรม  ไปสร้างความมั่นคงทางอาหาร  คนกลุ่มนี้จะได้มีโอกาสมากขึ้น  เพราะการทำงานขององค์กรใหม่  จะเป็นเหมือนกองทัพขนาดเล็กจะเคลื่อนตัวได้เร็ว