ไซโก (ประเทศไทย) เผยกลยุทธ์ปี ’59 เพิ่มช่องทางการตลาดผ่านออนไลน์



       มร. ฮารุมิตซึ อากาชิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายนาฬิกา SEIKO (ไซโก) อัลบา (ALBA) และ ไซโก คล็อกส์ (SEIKO CLOCKS) เรือนเวลาคุณภาพจากประเทศญี่ปุ่น ได้กล่าวถึงนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของไซโกในปี 2559 ในงานเลี้ยงอำลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ว่า “ช่วงปีใหม่นี้ถือว่าครบรอบ 1 ปีพอดีที่ตนเดินทางมารับตำแหน่งบริหารงานบริษัท ไซโก (ประเทศไทย) โดยภาพรวมของการดำเนินงานทั้งปีถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี แม้ภาวะเศรษฐกิจจะมีผลกระทบบ้างแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

       ปี ’58 เราใช้งบประมาณในการส่งเสริมการตลาดมากขึ้นจากเดิม มีทั้งการจัดงานใหญ่คือ งานฉลองครบรอบ 50 ปีนาฬิกาดำน้ำไซโก  การลงโฆษณาในสื่อต่างๆ อาทิ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร รถไฟฟ้า BTS โดยแรปสติ๊กเกอร์ทั้งขบวน รวมทั้งป้ายดิจิตัลบิลบอร์ดห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนเมืองและคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แบบยุคดิจิตัล ล่าสุดก็ติดสติ๊กเกอร์แรปกระจกคลุมด้านหน้าอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ทั้งหมด 5 ป้าย เพื่อต้อนรับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่คนมีการจับจ่ายใช้เงิน และยังร่วมสนับสนุนการจัดงาน Bangkok Countdown 2016 ซึ่งถือว่าเป็น
       โปรเจกต์ใหญ่แห่งปี  โดยนำนาฬิการุ่น Timer ที่เป็นซิกเนเจอร์นาฬิกาจับเวลาไซโก พร้อมใช้เทคโนโลยีระบบ GPS รับสัญญาณดาวเทียม บอกเวลา 6 เมืองได้แก่ฟลอริด้า แคลิฟอร์เนีย ปารีส ฮ่องกง โตเกียว และกรุงเทพฯ  เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 10 ปีฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ พร้อมนับเวลาถอยหลังก้าวสู่ปี 2559 ในวันที่ 31 ธันวาคม บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนกลุ่มเป้าหมายในต่างจังหวัด เรายังคงเน้นการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีมากกว่า 300 รายทั่ว
ประเทศ นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องนับแต่ต้นปีที่ทั้ง 3 แบรนด์ ไซโก อัลบา และไซโกคล็อกส์ ร่วมผลิตนาฬิการุ่นฉลองครบรอบ 60 พรรษาสมเด็จพระเทพรัตนฯ จนกลายเป็นของสะสมล้ำค้ำที่มีการสั่งจองล่วงหน้า และจำหน่ายหมดภายในเวลาไม่นาน ตลอดจนนาฬิการุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นและสเปเชียลอิดิชั่นที่ผลิตและจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทยซึ่งได้รับฟีดแบคที่ดีจากแฟนคลับสาวกไซโก และยังขยายตลาดไปยังกลุ่มใหม่ๆ อีกด้วย

      ทั้งนี้ จุดแข็งของนาฬิกาไซโกคือ เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสในการโชว์ศักยภาพของกลไกอันทรงพลังและแข็งแกร่งของนาฬิกาดำน้ำให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยนาฬิกาดำน้ำรุ่นครบรอบ 50 ปี นอกจากนี้เรายังได้นักเทนนิสระดับโลก “โนวัก ยอโควิช” (Novak Djokovic) ซึ่งได้รับชัยชนะในการแข่งขันแกรนด์สแลม มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ จึงช่วยส่งเสริมและผลักดันให้การเปิดตัวนาฬิกา GPS รุ่น ASTRON แบบ Dual Time ซึ่งใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อน เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น ดังนั้นในปี 2559 เราก็จะใช้แนวทางเช่นเดียวกันเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์นาฬิกาไซโก พร้อมกันนี้จะยังพุ่งเป้าในการทำตลาดนาฬิกาดำน้ำ รุ่น PROSPEX ซึ่งได้รับความนิยม และ ASTRON GPS Solar ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เหมาะกับคนเดินทางทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่ต้องการความแม่นยำด้านเวลา เพราะเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียมได้ในทุกมุมโลก นับเป็นเรือนแรกของโลกที่ควบคุมด้วยระบบ GPS ไม่ว่าผู้สวมใส่จะอยู่ที่ใดในโลก ก็สามารถใช้สัญญาณ GPS ปรับเวลาได้กว่า 40 ไทม์โซน และยังใช้ Clean Energy พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อนนาฬิกา

     การขยายกลุ่มเป้าหมาย  เนื่องจากไซโกเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยมานาน คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าไซโกเป็นแบรนด์คุณภาพ เรามีลูกค้าเก่าที่เหนียวแน่น จนปัจจุบันลูกค้าของเรามีการเติบโตและประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว จึงคิดว่าเราควรเพิ่มความน่าสนใจไปยังคนรุ่นใหม่ต่อไปเพื่อสืบต่อจากลูกค้ารุ่นแรก นอกจากนี้เราประสบความสำเร็จและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายผู้ชายแล้ว เราก็ยังมีประชากรอีกครึ่งของประเทศเป็นผู้หญิง จึงต้องการเพิ่มการตอบสนองและขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายนี้ ไม่เพียงด้วยคอลเลคชั่นของนาฬิกาแบรนด์ไซโกในแบบผู้หญิง แต่ปีหน้าเราจะเน้นแบรนด์อัลบาเพิ่มขึ้น โดยในขณะนี้เราได้ มิน-พิชญา นางเอกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และช่วงต้นปีหน้าจะมีคอลเลคชั่นใหม่ที่ให้ มิน-พิชญา ออกแบบเป็นพิเศษอีกด้วย ส่วนกลุ่มเป้าหมายอีกกลุ่มที่จะทิ้งไม่ได้ คือกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและโตอย่างต่อเนื่อง

      สำหรับการลงทุนทางการตลาดหรือทำโปรโมชั่นของบริษัทไซโก (ประเทศไทย) ในปี 2559 คงต้องรอสรุปตัวเลขทั้งหมดของปีนี้ก่อน แต่แน่นอนว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนและการทำตลาดเพิ่มขึ้น กลุ่มเป้าหมายจะเน้นที่กลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เราจะหันมาจับการตลาดและธุรกิจออนไลน์มากขึ้นเพื่อเป็นช่องทางขยายการตลาดเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าปีหน้าบริษัทจะทำผลกำไรมากขึ้นและโตขึ้นอย่างน้อย 10 % ซึ่งคงขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประไทศไทยด้วย